มารู้จักกับ The Perfectionism
"โรคสมบูรณ์แบบ"
รูปภาพจาก คลิ๊ก
ในสังคมปัจจุบันที่มีการแข่งขันที่สูง ทั้งด้านการเรียน การงาน และในการแข่งขันแต่ละอย่างย่อมมีผู้ที่เก่งกล้าที่สุดไล่เลียงลงมาถึงผู้ที่เก่งน้อยที่สุด ตามธรรมชาติคนเราไม่อาจคงอยู่จุดสูงสุดตลอดกาล ย่อมจะมีคนที่จะแซงเราตลอดเวลา ทำให้เกิดความกดดัน ความเครียด เพื่อที่จะต้องรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ จนนำไปสู่การเป็นซึมเศร้าได้ หรือจนถึงขั้นฆ่าตัวตาย
Perfectionism “โรคมนุษย์สมบูรณ์แบบ” คนที่เป็นโรคนี้จะเป็นคนที่ ไม่สามารถยืดหยุ่นมาตรฐานอะไรได้ อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม และชีวิตเต็มไปด้วยไม้บรรทัด ซ้ำร้ายกว่านั้นคนเหล่านี้จะคอยบงการทั้งชีวิตตัวเองและชีวิตคนรอบข้างอีกด้วย อาการนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น เด็ก ๆ ก็มีโอกาสเป็น Perfectionist ได้ด้วยเช่นกัน
แม้ Perfectionist หรือมนุษย์สมบูรณ์แบบ จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็เป็นอันตรายไม่เบาโดยข้อมูลจาก Medical News Today ได้กล่าวถึงการศึกษาของโธมัส เคอร์แรน (Thomas Curran) และคณะ จากมหาวิทยาลัยบาธ ประเทศอังกฤษ ที่ระบุว่าสิ่งที่ตามมาจากการยึดติดในความสมบูรณ์แบบ คือปัญหาด้านสุขภาพจิต ทั้งความกังวล ความกดดัน ความเครียด ที่ส่งผลให้เหล่า Perfectionist มีโอกาสซึมเศร้า ทำร้ายตัวเอง หรือถึงกับฆ่าตัวตายได้มากกว่าคนทั่วไป ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลจากนักศึกษามหาวิทยาลัยมากกว่า 40,000 คน ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ตั้งแต่ปี 1989 จนถึงปี 2016 ยังพบว่า ช่วงวัยรุ่นมีอัตราการเป็น Perfectionism ได้ถึง 33%
วัยรุ่นกำลังถูกทำร้ายด้วยกระแสคลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบ ปลายทางคือโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย
โธมัส เคอร์แรน (Thomas Curran) และ แอนดริว ฮิลล์ (Andrew Hill) ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยบาธ และ ยอร์ค เซนต์จอห์น แห่งสหราชอาณาจักร พวกเขาชี้ว่า
______________________
ต้นตอความเครียดที่ทำให้วัยรุ่นทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต มาจากเทรนด์ของโลกที่เรียกว่า Neoliberalism หรือเสรีนิยมใหม่ซึ่งให้อภิสิทธิ์สูงสุดกับคนที่ประสบความสำเร็จซึ่งวัดได้จากการมีเงินเท่านั้น
______________________
สังคมที่มีความสมบูรณ์แบบเป็นไม้บรรทัด
เมื่อกล่าวถึง Liberalism จุดกำเนิดของแนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนี้อยู่ที่ชาติมหาอำนาจในห้วงเวลาเปลี่ยนผ่านสู่โลกยุคใหม่ เมื่ออังกฤษโดยนางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นำแนวคิดนี้มาเพื่อกระตุ้นให้เกิดกลไกตลาด และลดบทบาทของรัฐสวัสดิการที่เกิดปัญหารัฐแทรกแซงตลาดมากเกินไปจนเศรษฐกิจไม่เติบโตในยุค 70 และต่อมาประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน แห่งสหรัฐ ก็นำทฤษฎีนี้มาปรับใช้ตามเพื่อกระตุ้นการลงทุนให้เกิดการค้าแบบเสรีด้วยกลไกราคา
ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวได้สร้างโครงสร้างทางสังคมที่เงินเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ นอกเหนือจากปัจจัย 4 การจะอยู่รอดในสังคมหมายถึงการทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินจำนวนมาก บริบทของสังคมเสรีนิยมนี้เต็มไปด้วยการแข่งขันของปัจเจกบุคคลเอง และตลาดเศรษฐกิจที่สินค้าและบริการต้องแข่งกันดึงดูดเงินอย่างดุเดือด ภาพใหญ่คือทุกอย่างล้วนเป็นสินค้าที่มีราคาและสามารถซื้อขายในตลาดได้ สังคมที่ดำเนินไปเช่นนี้ เริ่มสร้างบรรทัดฐานในการประเมินตนเองแบบใหม่ขึ้น ทุกคนเห็นตนเองเป็นเสมือน ‘สินค้าชิ้นหนึ่ง’ ที่ต้องนำเสนอให้มีคุณค่าในสายตาของสังคมตลอดเวลา
ทั้งโธมัสและแอนดริวซึ่งมีบทบาทหลักเป็นอาจารย์เล่าว่า บางครั้งพวกเขาต้องทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางจิตให้กับเด็กนักเรียนที่ภายนอกดูสดใสร่าเริง ปกติดีทุกประการ แต่กลับมีภาวะอาการทางจิตบกพร่อง เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล และคิดฆ่าตัวตายอยู่เสมอ นี่อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ที่วัยรุ่นจำนวนมากทั่วโลกกำลังประสบปัญหาทางจิตที่นับวันยิ่งรุนแรงและนำไปสู่อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น มันคือผลพวงจากค่านิยมที่สังคมลักษณะนี้กำลังเชพการมองโลกของพวกเขาว่า ตนเองจะมีจุดบกพร่องไม่ได้เลยเด็ดขาด
ไม้บรรทัดที่สังคมใช้กับเด็กคือ โรงเรียน มหาวิทยาลัย (ต้องจบจากสถาบันรัฐ-เอกชนที่มีชื่อเสียง) สาขาอาชีพที่เรียน (จบไปแล้วมีค่าตอบแทนสูงและมั่นคง) อีกทั้งยังมีแรงคาดหวังจากพ่อแม่ผู้ปกครอง การเข้าสังคมกับเพื่อนฝูง การไหลบ่าของโซเชียลมีเดียที่ส่งเมสเสจย้ำๆ ว่า “ใครๆ ก็ประสบความสำเร็จ และดูดีกันทั้งนั้น”
_________________________
พวกเขาถูกเปรียบเทียบ จัดประเภท จัดอันดับอยู่ตลอดเวลา หากถูกจัดให้อยู่ในอันดับล่างหรืออยู่ในเกณฑ์ ‘อ่อน’ จะหมายความทันทีว่าไม่มีค่าและเป็นจุดบกพร่องของสังคมนั้น
_________________________
เมื่อถนนทุกสายมุ่งไปที่ความสมบูรณ์แบบเป็นเส้นชัย จึงไม่แปลกที่เด็กวัยรุ่นยุคนี้ต้องแบกรับความกดดันให้ตนเอง ‘ดีที่สุด’ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และยิ่งไปกว่านั้น เด็กเหล่านั้นยังมีพื้นที่ในโซเชียลเป็นกระจกสะท้อนความสำเร็จจากมุมมองที่คนอื่นมีต่อตัวเอง กระหายที่จะต้องมีข้อพิสูจน์มารับรองว่าตนบรรลุเป้าหมายแล้ว เช่น สอบติดมหาวิทยาลัย ได้เกรดเฉลี่ยสูง ได้รางวัล หรือคำชื่นชม (หรือ คอมเมนต์ต่างๆ ยอดไลค์ ยอดแชร์ และยอดติดตาม หรือ followers)
ในท้ายที่สุด เมื่อไปไม่ถึงความสมบูรณ์แบบในอุดมคติอันเปราะบางที่สร้างไว้ หรือค้นพบว่าตนเองไม่ได้เป็นที่หนึ่ง พวกเขาจะผิดหวังอย่างรุนแรงเพราะตั้งสมการไว้ว่าคนที่ทำอะไรผิดพลาด ล้มเหลว คือคนไม่มีค่า
งานวิจัยทางจิตวิทยาที่โธมัสและแอนดริวเพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Bulletin ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ชี้ว่าระดับเสพติดความสมบูรณ์แบบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1989 โดยน่าจะเป็นอาการหนึ่งที่วัยนี้ใช้เชื่อมกับการพยายามทำให้ตนเองรู้สึกปลอดภัยเมื่อต้องวางตัวเอง (positioning) ให้อยู่รอดในสังคมแบบเสรีนิยมดังกล่าว
ความกดดันภายในของวัยรุ่นที่ต้องเป็น ‘มนุษย์เป๊ะเว่อร์’ ตลอดเวลา อาจพ่วงมากับอาการทางจิตอื่นๆ เช่น โรคกลัวอ้วนจนมีพฤติกรรมกินผิดปกติ โรควิตกกังวลเกินไป ซึมเศร้า และมีความคิดฆ่าตัวตาย
ตัวอย่างอันน่าเศร้าหนึ่งจากครอบครัววาโลรัสซึ่งสูญเสียลูกสาววัย 17 ปี อเล็กซานดรา วาโลรัส (Alexandra Valoras)จากการฆ่าตัวตาย โดยกระโดดลงมาจากสะพานข้ามไฮเวย์ระหว่างไปเที่ยวทริปสกีในวันหยุดกับครอบครัว ไดอารี 2 เล่มของเธอที่พบในที่เกิดเหตุ เต็มไปด้วยถ้อยคำที่อเล็กซานดราตำหนิและวิจารณ์ตัวเองอย่างรุนแรงต่อเนื่องเป็นเวลานานนับปี สิ่งที่น่าตกใจคือ เธอไม่เคยแสดงสัญญาณใดๆ ที่บ่งบอกอาการซึมเศร้า อย่างการวิจารณ์ตัวเองในแง่ลบให้ใครได้ยินมาก่อนหน้านั้นเลย
เอลิเซีย (Alysia) และ ดีน วาโลรัส (Dean Valoras) พ่อแม่ของอเล็กซานดราเล่าว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นในลูกคือเด็กมุ่งมั่น มีเป้าหมาย และร่าเริงปกติคนหนึ่ง เธอเลือกเข้าโรงเรียนเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีที่เธอชอบเอง และยังทำเกรดเฉลี่ยดีมาโดยตลอด ทำกิจกรรมและเข้าแข่งขันได้รางวัลมามากมาย แข่งได้ที่ 7 ในการประกวด SkillsUSA National Leadership และ Skills Conference Championships โดยตั้งเป้าว่าปีนี้จะต้องได้ที่ 1 เธอกับทีมเพื่อนนักเรียนกำลังวางแผนลงแข่งการประกวดหุ่นยนต์ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
ในสายตาคนภายนอก อเล็กซานดรามักมีรายการสิ่งที่ต้องทำและลงมือทำตามอย่างเคร่งครัด แต่ในไดอารี อเล็กซานดรากลับบรรยายถึงจิตใจที่ถูกกัดกร่อนจากความพยายามวันแล้ววันเล่าในการใช้ชีวิตประจำวันให้อยู่ในกรอบของคนเก่งที่เธอตั้งเอาไว้เอง เธอรับตัวเองไม่ได้เมื่อเกิดความรู้สึกเฉื่อยชา ขี้เกียจบางครั้งบางคราว และกล่าวโทษตัวเองที่มีข้อบกพร่องเหล่านั้น
ด้านล่างเป็นตัวอย่างสัญญาณของอาการยึดติดกับความสมบูรณ์แบบมากเกินไปจากไดอารีบางส่วนของเธอ
“…ทั้งหมดใน (ไดอารี) นี้คือเนื้อแท้ที่ฉันไม่ได้ปรุงแต่ง และขาดแหว่งไม่สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสนมันนอกจากฉัน ในนี้ฉันไม่ต้องเป็นไปตามบรรทัดฐานที่คนอื่นขีดไว้…แม้แต่ตัวฉันเอง”
“ฉันหลงทาง หมดหวัง ไร้ค่า ขี้เกียจ เฉื่อยชา สับสน เหนื่อยล้า ชาชิน คิดลบ อึดอัด ขัดแย้ง เป็นทุกข์ จับฉ่าย และเคว้งคว้างเหลือเกิน…”
“ชีวิตไร้จุดหมายอะไรอย่างนี้ ทำไมฉันต้องลุกจากที่นอน ต้องมาทำการบ้านช่วงหน้าร้อน ต้องไปวิ่ง ทั้งหมดเพื่อวันข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตอนนี้…ฉันอยู่อย่างมีความสุขอย่างนี้ไม่ได้”
“ฉันต้องได้เหรียญทองการแข่ง SkillsUSA ปีนี้ให้ได้ ไม่งั้นที่ฝึกมาทั้งหมดก็ไร้ค่า”
“ฉันต้องสมบูรณ์แบบ อะไรที่น้อยกว่าสมบูรณ์แบบก็คือล้มเหลว”
“ฉันไม่มีทางเป็นคนที่ฉลาดที่สุด และถ้าไม่ได้เป็นที่หนึ่ง ฉันก็หมดความหมาย”
เท่าทัน ยอมรับ มีสติ
ในเมื่ออย่างไรเสีย เด็กและเยาวชนไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเครียดและความกดดันจากสังคมที่เป็นอยู่นี้ได้อยู่แล้ว พ่อแม่และโรงเรียนควรต้องช่วยกันติดตั้งภูมิคุ้มกันให้พวกเขาหาจุดยืนในการเป็นตัวของตัวเองในสังคมได้โดยไม่ต้องเปรียบเทียบ ปลูกฝังหนึ่งในสัจธรรมของความเป็นมนุษย์ คือความไม่สมบูรณ์แบบ ความแตกต่าง ความหลากหลายในสังคม พื้นฐานแรกสุดคือพวกเขาต้องรู้จักยอมรับ และรักในสิ่งที่ตัวเองเป็น
การมีเมตตาในตัวเอง หรือ self-compassion เป็นอุปนิสัยสำคัญซึ่งบทความเรื่อง Self-compassion: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้วัยรุ่น โดย ชลิตา สุนันทาภรณ์ กล่าวไว้ว่าควรต้องบ่มเพาะให้เด็กรู้จักยอมรับความผิดพลาดของตนเองเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้อย่างมีสติ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ หลีกเลี่ยงความล้มเหลวหรือความผิดพลาดไม่ได้
นอกจากมีเมตตาในตัวเอง การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็เช่นเดียวกัน โธมัสและแอนดริวลงความเห็นว่า การเห็นใจผู้อื่นเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานด้านบวกในจิตใจให้สามารถรับมือกับความเป็นไปในสังคม รวมทั้ง หากโรงเรียน มหาวิทยาลัย และทุกภาคส่วนหันมาใส่ใจอย่างจริงจังในการกลั่นกรองสิ่งที่สังคมยัดเยียดให้เด็ก โดยวางกรอบการศึกษาเรียนรู้ตลอดจนการทำงานให้อยู่บนพื้นฐานของการเห็นอกเห็นใจมากกว่าการแข่งขันเปรียบเทียบอย่างที่เป็นอยู่ ปัญหาเด็กยึดติดกับความสมบูรณ์แบบมากเกินไปแล้วพ่วงตามมาด้วยโรคทางจิตอีกหลายอย่างน่าจะทุเลาขึ้น
ถ้าให้พูดถึงแนวทางปฏิบัติที่ผู้ใหญ่ใกล้ตัวเด็กจะทำได้ อาจไม่ตายตัวนักในครอบครัวและบริบทที่แตกต่างกัน จำเป็นอย่างยิ่งคือ พ่อแม่และครูต้องหมั่นเข้าไปสำรวจโลกของพวกเขาบ้างว่า กำลังสนใจหรือหมกมุ่นกับอะไรเป็นพิเศษ เสพวงดนตรี ศิลปิน หนังสือ ภาพยนตร์หรือเกมประเภทไหน คร่ำเคร่งกับเป้าหมายมากเกินไปรึเปล่า และมีแนวโน้มที่จะตัดสินเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในทางลบหรือไม่
นอกจากต้องหูไวตาไวกับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจเป็นสัญญาณของความเครียดภายใน พ่อแม่และครู ต้องนับตัวเองเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เรียนรู้ที่จะสวมหมวกเพื่อนที่ปรึกษา เป็นพวกเดียวกับเขาโดยไม่ตัดสิน เปรียบเทียบ หรือคาดหวังใดๆ
รูปจาก คลิ๊ก
Perfectionist อาการเป็นอย่างไร
1. คาดหวังสูงกับตัวเอง
2. รู้สึกแย่ถึงแย่ที่สุด ถ้าหากทำอะไรผิดพลาดต่อหน้าคนอื่น คิดแต่ว่าคนอื่นจะมองตัวเองอย่างไร
3. หวั่นไหวง่าย เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์
4. ถ้าต้องทำอะไรที่คิดแล้วว่าทำได้ไม่ดี จะพยายามหลีกเลี่ยงสุดฤทธิ์
5. พยายามปกปิดความรู้สึกของตัวเอง และไม่ค่อยอยากสุงสิงกับคนอื่น
6. จัดลำดับความสำคัญไม่ค่อยเป็น ลังเลไปมา ตัดสินใจไม่ได้เสียที ไม่เลือกทางไหนไปสักทาง
7. ถ้าทำอะไรแล้วผลลัพธ์ออกมาแย่กว่าที่คาดหวังไว้ อาจมีอาการทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง
โรค perfectionist แก้ไขอย่างไร
1. ปรับทัศนคติของตัวเองก่อน
คุณพ่อคุณแม่ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจและยอมรับในตัวลูก มองให้ดีว่าชีวิตลูกเป็นของเขา อย่าคิดว่าลูกเป็นของเราแล้วยัดเยียดให้ทำตามสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ แต่ควรเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการอย่างรอบด้าน ให้เขาได้รู้จักตัวเองว่าชื่นชอบอะไร ถนัดอะไร ทำสิ่งใดได้ดี และให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแบบของเขา
2. มองลูกด้วยสายตาความเป็นจริง
ประเมินความสามารถของลูกตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามสายตาที่พ่อแม่อยากให้เป็น เช่น หากลูกไม่ใช่เด็กหัวดี ก็อย่าพยายามกดดันด้วยการส่งลูกไปเรียนพิเศษ เพื่อที่จะได้เรียนเก่งเหมือนคนอื่น ลองเปลี่ยนเป็นส่งเสริมให้ลูกเรียนหนังสืออย่างมีความสุข ไม่บังคับกดดัน โดยพ่อแม่อาจเข้าไปมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เขารับผิดชอบต่อการเรียนของตัวเอง และสร้างความมั่นใจให้กับลูกว่า ไม่ว่าผลการเรียนของลูกจะเป็นอย่างไร ถ้าลูกทำเต็มที่แล้ว พ่อแม่ก็ภูมิใจในตัวลูก
3. ลดความคาดหวังลง
พ่อแม่มักจะคาดหวังให้ลูกเป็นเด็กเรียนเก่ง อยากให้ได้เกรดดี ๆ หรือทำกิจกรรมบางอย่างให้ดีเลิศ เป็นที่หนึ่งในทุกด้าน ซึ่งบางทีก็เผลอพูดหรือแสดงท่าทีที่สร้างความกดดันให้ลูกโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีพ่อแม่ควรลดความคาดหวังลง ไม่ต้องถึงขนาดเคี่ยวเข็ญมาก ชมเชยลูกบ้าง และปล่อยให้ลูกได้เดินตามความฝันของเขาเต็มที่แบบไม่ต้องเครียดจะดีกว่า
4. อย่าเปรียบเทียบ
กรณีที่ครอบครัวมีลูกมากกว่าหนึ่งคน ควรระมัดระวังความรู้สึกของลูกแต่ละคนให้มาก ๆ ไม่ควรนำความสามารถของลูกคนหนึ่งไปเปรียบเทียบกับพี่หรือน้อง ถ้าชื่นชมลูกคนใดคนหนึ่ง ก็ควรสอนให้อีกคนชื่นชมยินดีและให้กำลังใจพี่น้องด้วย หรือแม้แต่การนำลูกไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น ๆ ก็ไม่ควรทำ เพราะเด็กแต่ละคนย่อมมีความสามารถเฉพาะตัวและพื้นนิสัยที่แตกต่างกันอยู่แล้ว
1. ปรับทัศนคติของตัวเองก่อน
คุณพ่อคุณแม่ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจและยอมรับในตัวลูก มองให้ดีว่าชีวิตลูกเป็นของเขา อย่าคิดว่าลูกเป็นของเราแล้วยัดเยียดให้ทำตามสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ แต่ควรเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการอย่างรอบด้าน ให้เขาได้รู้จักตัวเองว่าชื่นชอบอะไร ถนัดอะไร ทำสิ่งใดได้ดี และให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแบบของเขา
2. มองลูกด้วยสายตาความเป็นจริง
ประเมินความสามารถของลูกตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามสายตาที่พ่อแม่อยากให้เป็น เช่น หากลูกไม่ใช่เด็กหัวดี ก็อย่าพยายามกดดันด้วยการส่งลูกไปเรียนพิเศษ เพื่อที่จะได้เรียนเก่งเหมือนคนอื่น ลองเปลี่ยนเป็นส่งเสริมให้ลูกเรียนหนังสืออย่างมีความสุข ไม่บังคับกดดัน โดยพ่อแม่อาจเข้าไปมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เขารับผิดชอบต่อการเรียนของตัวเอง และสร้างความมั่นใจให้กับลูกว่า ไม่ว่าผลการเรียนของลูกจะเป็นอย่างไร ถ้าลูกทำเต็มที่แล้ว พ่อแม่ก็ภูมิใจในตัวลูก
3. ลดความคาดหวังลง
พ่อแม่มักจะคาดหวังให้ลูกเป็นเด็กเรียนเก่ง อยากให้ได้เกรดดี ๆ หรือทำกิจกรรมบางอย่างให้ดีเลิศ เป็นที่หนึ่งในทุกด้าน ซึ่งบางทีก็เผลอพูดหรือแสดงท่าทีที่สร้างความกดดันให้ลูกโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีพ่อแม่ควรลดความคาดหวังลง ไม่ต้องถึงขนาดเคี่ยวเข็ญมาก ชมเชยลูกบ้าง และปล่อยให้ลูกได้เดินตามความฝันของเขาเต็มที่แบบไม่ต้องเครียดจะดีกว่า
4. อย่าเปรียบเทียบ
กรณีที่ครอบครัวมีลูกมากกว่าหนึ่งคน ควรระมัดระวังความรู้สึกของลูกแต่ละคนให้มาก ๆ ไม่ควรนำความสามารถของลูกคนหนึ่งไปเปรียบเทียบกับพี่หรือน้อง ถ้าชื่นชมลูกคนใดคนหนึ่ง ก็ควรสอนให้อีกคนชื่นชมยินดีและให้กำลังใจพี่น้องด้วย หรือแม้แต่การนำลูกไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น ๆ ก็ไม่ควรทำ เพราะเด็กแต่ละคนย่อมมีความสามารถเฉพาะตัวและพื้นนิสัยที่แตกต่างกันอยู่แล้ว
5. ทำให้ลูกเข้าใจว่า “ไม่ Perfect ไม่ใช่ปัญหา”
หลังจากพ่อแม่ปรับในส่วนของตัวเองแล้ว คราวนี้ก็มาถึงการปรับเปลี่ยนความคิดของลูกกันบ้าง ข้อแรกเลยก็คือต้องแสดงให้เขาเห็นถึงความไม่สมบูรณ์แบบของตนเอง และให้รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติของชีวิต ฝึกการปล่อยวาง เพื่อให้เด็กสามารถยอมรับข้อผิดพลาดและดำเนินชีวิตต่อไป เช่น ในด้านการเรียน เมื่อลูกไม่ได้เกรด 4 ทุกวิชา คุณอาจจะถามว่าลูกรู้สึกอย่างไร คำตอบของลูกอาจจะออกแนว “ฉันยังทำไม่ดีพอ” ตามสไตล์ของเด็ก Perfectionist ขอให้พ่อแม่รับฟังสิ่งที่ลูกพูด ทำความเข้าใจ แล้วค่อย ๆ ปรับแต่งความคิดของลูกว่า “ลูกทำได้ดีมากอยู่แล้ว อย่าเอาแต่มองสิ่งที่ขาด เพราะลูกจะไม่มีความสุขเลย พ่อแม่อยากให้ลูกมีความสุข เพราะมันจำเป็นกับชีวิตของลูกมากกว่าการได้เกรด 4 ทุกวิชา”
6. ฝึกให้ลูกชนะได้ก็แพ้ได้
พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักทั้งการเป็น “ผู้ชนะ” และ “ผู้แพ้” โดยอาจส่งเสริมให้ลูกฝึกเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก หาโอกาสให้มีการแข่งขัน ค่อย ๆ ให้ลูกเรียนรู้ความรู้สึกของการชนะและการพ่ายแพ้ เมื่อชนะก็ต้องชื่นชมผู้แพ้ ลูกจะได้เข้าใจและไม่ยึดติดกับการเป็นผู้ชนะเท่านั้น และเมื่อแพ้ก็ควรยินดีกับผู้ชนะ แต่ต้องไม่สิ้นหวัง ต้องมีพลังและทัศนคติที่จะผลักดันให้มีความพยายามในครั้งต่อไป
7. เรียนรู้แบบมีเป้าหมาย
สิ่งสำคัญที่พ่อแม่สามารถปลูกฝังและสอดแทรกไปกับการเรียนรู้เรื่องแพ้-ชนะ ก็คือการมุ่งมั่นที่จะไปสู่เป้าหมาย แต่ต้องใส่ใจรายละเอียดระหว่างทางด้วย เพราะกว่าจะไปถึงเป้าหมายนั้นต้องอาศัยทักษะชีวิตในด้านอื่น ๆ เช่น ความอดทน ความพยายาม การเรียนรู้ความผิดพลาด เป็นต้น รวมถึงฝึกให้ลูกมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตอย่างมีแบบแผนและสอดคล้องกับความเป็นจริง
8. สอนลูกจัดการความเครียด
เด็กที่เป็น Perfectionist มักจะมีความเครียดและกดดันในตัวเองสูง ดังนั้นพ่อแม่จึงควรช่วยลูกจัดการความเครียดด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น ฝึกทำสมาธิ ฝึกเจริญสติ ฝึกการหายใจ ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ วิธีการเหล่านี้ไม่ได้แก้ที่ต้นตอ แต่เป็นวิธีสากลที่ยอดเยี่ยมสำหรับลดความเครียดทุกประเภท
แหล่งที่มา